วันพฤหัสบดีที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2557

มาล้างแปรงแต่งหน้ากันเถอะ...


เขียนเรื่องเกี่ยวกับเครื่องสำอางแล้ว สาวๆคงได้นำไปใช้กันจนตอนนี้แปรงอาจจะมอมแมมแล้วก็ได้ งั้นวันนี้เราก็มาทำแปรงของเราให้สะอาดเหมือนใหม่และอยู่
คู่เราไปอีกนานกันดีกว่า

อย่าปล่อยให้แปรงแต่งหน้าเลอะเถอะเหมือนผ้าขี้ริ้ว

จากประสบการณ์แต่งหน้ามาเกือบสิบปี การมีแปรงแต่งหน้าไม่ว่าจะ 1 อันหรือมหาเซตก็ตาม สิ่งที่ห้ามละเลยหรือมองข้ามคือการดูแลรักษาความสะอาดแปรงแต่งหน้าค่ะแปรงแต่งหน้าอันหนึ่งและเซตหนึ่งสนนราคาก็หลายบาท บางคนอาจจะต้องเก็บออมกันอย่างหนักหน่วงเพื่อได้มา ดังนั้นนอกจากต้องเรียนรู้วิธีใช้แปรงให้ถูกวิธีแล้ว ควรรู้จักวิธีเก็บและทำความสะอาดแปรงแต่งหน้าอย่างถูกต้องด้วยค่ะ เพราะจะช่วยรักษาแปรงแต่งหน้าของเราให้มีอายุยืนยาว

อย่าลืมว่าแปรงแต่งหน้าเป็นสิ่งที่ใช้กับใบหน้า ถ้าเราซกมกปล่อยให้แปรงแต่งหน้าของเรามอมแมม หมักหมม ถ้าสิวถามหาก็อย่าได้โทษใครเชียว

ล้างแปรงแต่งหน้าบ่อยแค่ไหนละ?

จะล้างแปรงแต่งหน้าบ่อยแค่ไหน ก็อยู่ที่ว่าเราใช้แปรงแต่งหน้าของเราสมบุกสมบันขนาดไหนค่ะ ถ้าคุณเป็นคนที่ใช้แปรงแต่งหน้าทุกวัน หลังจากใช้แปรงแต่งหน้าแล้วปัดเศษฝุ่นเมคอัพออกจากแปรงแต่งหน้าเช็ดเศษครีมออกหมดทุกครั้งและเก็บแปรงใส่ปลอกเก็บในกระบอกแปรงหรือประเป๋าแปรงอย่างเรียบร้อย หรือวางระเกะระกะ ก็ควรทำความสะอาดอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้งก็ยังดีค่ะ


อาบน้ำให้แปรงแต่งหน้ากันเถอะ

เครื่องอาบน้ำ
1.แปรงแต่งหน้าหรือพัพที่เราต้องการจะล้าง

2.สบู่เหลวสำหรับเด็กหรือน้ำยาสำหรับล้างแปรงโดยเฉพาะ
3.กระดาษทิชชู
4.ถาดหรือตะแกรง (ในรูปเราลืมเอามาถ่ายด้วยนะ)

มาเริ่มกันเลย!!!!





อันนี้คือสภาพแปรงและพัพของเราที่จะล้าง ดูเลอะเทอะมาก





เริ่มแรกเราก็เปิดน้ำใสแปรงโดยที่ไม่ให้น้ำไหลขึ้นมาจนถึงขอบแปรงด้านบน ไม่งั้นน้ำจะเข้าไปในส่วนที่เป็นกาวไว้ที่ไว้ยึดติดขนแปรงกับแปรง และมันจะทำให้ขนแปรงหลุดร่วงใช้งานได้ไม่นาน





ขั้นตอนที่สอง บีบสู่เหลวสำหรับเด็กหรือน้ำยาล้างแปรงลงบนขนแปรง





ขั้นตอนที่สาม เอาแปรงวนๆบนฝามือจนเกิดเป็นฟอง ถ้าแปรงเราเลอะมากจำไม่ค่อยเห็นฟองเท่าไหร่ ส่วนพัพก็ใช่นิ้วมือบีบๆ จนรู้สึกว่าสะอาด

เราจะรู้ได้ไงว่าแปรงที่เราล้างมันสะอาดแล้ว?


รูปนี้คือล่างสบู่ครั้งแรกสังเกตว่าฟองจะมีสีอยู่และฟองดูขุ่นๆ


รูปนี่คือเราล่างมารอบที่สาม ฟองจะขาวและเยอะมากๆ นั่นแสดงว่าแปรงหรือพัพที่เราล้างสะอาดแล้ว





ต่อมาคือการล้างฟองออก แปรงเราก็ล้างเหมือนตอนแรก พัพเราใช้วิธีกดๆบีบจนไม่มีฟอง



สุดท้ายคือเอากระดาษทิชชูปูบนถาด แล้วเอาแปรงที่ล้างแล้ววางไว้ เอากระดาษทิชชูมาปิดทับบนแปรงอีกทบนึง ใช้แค่แผ่นเดียวพอไม่งั้นแปรงจะไม่ระบายอากาศ เป็นอันจบพิธีการล้างแปรง เราจะพักแปรงไว้แบบนี้ ห้ามใครมายุ่งเด็ดขาด ทิ้งไว้ข้ามคืนแล้วเราก็เช็คให้แน่ใจว่าแห้งสนิทแล้วด้วยการเอานิ้วไล่ขนแปรงดูถ้าแห้งแล้วก็เก็บเข้ากล่อง เอามาไว้แต่งหน้าต่อ เท่านี้เราก็มีแปรงสะอาดๆ ไว้ใช้ แถมอยู่ทนอยู่นาน และไม่ต้องกลัวสิวถามหาด้วยค่ะ

วันอังคารที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2557

EXTURE EYES...เนื้ออายแชโดว์


อายแชโดว์เป็นอีกหนึ่งอย่างที่สาวๆสามารถมีได้มากว่าหนึ่ง ต่อให้จะมีแล้วหรือยังไม่มีก็ร้องเรียกหากันเสมอ ก็เพราะสีและเนื้อสัมผัสมันยั่วยวนชวนเสียเงินเหลือเกิน และจากการที่เราแต่งหน้ามานับแรมปีปัญหาที่เราเจอมากคือ เนื้อของอายแชโดว์ เวลาที่เราไปเลือกซื้อแต่ละแบรนด์มักจะมีหลากหลายชนิด และก็คงมีสาวๆหลายคนที่ยังคงงงว่า แต่ละชนิดมันต่างกันยังไงกันแน่ อันนู้นมันวาว อันนี้เป็นประกาย เยอะไปหมด เราเลยหาข้อมูลเพื่อจะได้รู้ว่าตกลงมันมีเนื่ออายแชโดว์กี่ชนิดกัน


Cream Eyeshadow 
เนื้อครีม หลายคนอาจจะสงสัยว่าเอาไว้ทำอะไร หนังตาก็มันจะแย่อยู่แล้ว ทาครีมๆเข้าไปไม่ทำให้เละเทะละลายเป็นคราบหมดเหรอ และอายแชโดว์ครีมใช้ยากนิดนึง ปกติจะไม่นิยมทาแบบเดี่ยวๆนอกจากจะเป็นคนที่มีหนังตาที่ไม่มันซึ่งหาได้ยากในแถบเอเชียเพราะคนเอเชียส่วนใหญ่ตาเล็ก ตาชั้นเดียวหรือตาชั้นเล็กๆหลบใน ทำให้มันเสียดสีกันเยอะหน่อยยังไงก็เป็นคราบแน่ๆ 

ปกติอายแชโดว์ประเภทนี้จะใช้ทาเป็นเบสก่อนที่จะลงสีอายแชโดว์แบบปกติเพื่อให้สีออกชัดเจนมากยิ่งขึ้นค่ะและเพื่อให้อายแชโดว์แบบปกติมีที่ยึดเกาะ(ทำหน้าที่คล้ายๆอายเบสหรืออายไพรม์เมอร์) บางคนอาจจะไม่ใช้เบสแต่ใช้อายแชโดว์ครีมแทนไปเลย 



Matte Eyeshadow 
เนื้อแมทคือสีด้าน ไม่มีความมันวาวใดๆ และเป็นเนื้อที่ให้สีได้ชัดเจนมาก สามารถใช้ได้หลากหลายรูปแบบ จะเอามาเป็นไฮไลน์รูปหน้า โหนกคิ้ว เขียนคิ้ว หรือเอาแปรงหัวตัดจุ่มน้ำนิดหน่อยแล้วมาเขียนเป็นอายไลน์เนอร์แบบพุ้งๆก็สวยค่ะ แต่การใช้เนื้อแมทต้องเกลี่ยดีๆ ไม่งั้นจากสวยอาจเป็นแย่ไปเลยก็ได้


Shimmer Eyeshadow 
เนื้อชิมเมอร์ จะมีความเป็นประกายแวววาว มีกลิตเตอร์เกล็ดเล็กมากๆ จะใช้เพื่อเพิ่มความสดใสให้แก่ดวงตา อย่างลุคสโมกกี้อายจะใช้เนื้อชิมเมอร์เติมที่หัวตา ทำให้ดูมีลูกเล่นเยอะขึ้นด้วยค่ะ



Mineralize EyeShadow 

จะเป็นอายแชโดว์ที่ให้สีชัดเจน และเม็ดสีที่แน่นกว่าเนื้อแมท แต่ก็มีความแวววาวผสมด้วย สาวๆบางคนเรียกว่า เนื้อมุกหรือเนื้อซาติน เนื้อมิเนอรัลจะเกลี่ยง่ายกว่าเนื้อแมท


Loose Eyeshadow หรือ Pigment เรียกแบบไทยๆก็น่าจะเป็นอายแชโดว์แบบผงหรือเม็ดสี
อายแชโดว์แบบนี้จะไม่เป็นตลับมาให้ส่วนใหญ่จะบรรจุอยู่ในกระปุกหรือขวดเล็กๆ โดยปกติพวกพิกเม้นพวกนี้จะไม่นิยมทาเดี่ยวๆจะต้องมีครีมอายแชโดว์หรืออะไรก็ตามเป็นเบสก่อนเสมอค่ะ (แค่อายไพรม์เมอร์อย่างเดียวไม่พอ)

เพราะว่าเนื้อมันเป็นผงจึงต้องการที่ยึดเกาะ หรืออาจจะใช้แบบเปียก(ฉีดน้ำลงบนแปรง)แล้วทาทับอายแชโดว์ธรรมดาอีกทีหนึ่ง อายแชโดว์ชนิดนี้จะให้สีที่ชัดยิ่งกว่า แบบเนื้อแมทและมิเนอรัลค่ะ



Glitter Eyeshadow
อายแชโดว์เนื้อกลิตเตอร์ จะเป็นเม็ดกลิตเตอร์หรือเด็กเรียกว่ากากเพรช (แต่อันนี้สำหรับแต่งหน้าโดยเฉพาะนะค่ะ ไม่ใช่กากเพรชงานประดิษฐ์) จะมีความชัดของสีและความแวววาววิบวับ แบบขั้นสุดของบรรดาอายแชโดว์ เนื้อกลิตเตอร์จะใช้ในการครีเอทลุคแบบจัดเต็มในยามค่ำคืน อย่างถ้าไปงานปาร์ตี้หรือออกงานหรูๆก็อัดกลิตเตอร์ปังเดียวเริดเลยคะ แต่การใช้เนื้อกลิตเตอร์ต้องระวัง For Out มากๆเพราะไม่งั้นมันจะติดที่บนใบหน้าเราคราวนี้วิบวับทั้งหน้าสมดั่งใจเลยแหละ


ถ้าสาวๆคนไหนแต่งตาคล่องแล้ว สามารถลองจับ Mix & Match เนื้อและสีสัน Eye Shadow แบบต่างๆมาแต่งบนเปลือกตา ก็จะทำให้ดวงตาดูสวยแบบมีมิติมากขึ้นและดูมีทักษะอีกด้วย




วันศุกร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2557

เนื้อลิปสติกแต่ละชนิดต่างกันยังไง


การใช้ลิปสติกเพื่อเติมสีสันให้แก่ริมฝีปากเป็นการประทินความงามที่อยู่คู่กับผู้หญิงมานาน สาว ๆ เองก็คงมีลิปสติกไว้ในครอบครองอย่างน้อยก็คนละ 3-4 แท่งใช่ไหมล่ะคะ (รู้นะว่าหลาย ๆ คนมีเยอะกว่านี้อีกขนาดตัวเราเองยังมีมากกว่าเลย) ทั้งไว้ต่างสีต่างเฉด แถมยังมีเนื้อลิปสติกที่ต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นเนื้อแมท เนื้อเชียร์ หรือแบบเงางามวาวฉ่ำ เพื่อให้ลุคที่แตกต่างกันไปในการแต่งหน้าแต่ละแบบ ว่าแต่ประเภทของลิปสติกแต่ละแบบมีความแตกต่างกันอย่างไรบ้างมือใหม่อาจจะยังงงๆ งั้นเราทำความรู้จักให้ละเอียดไปพร้อม ๆ กันเลยค่ะ





Lip Tretment คือ ลิปสติกที่ช่วยให้ความชุ่มชื้น หรือลดอาการแตกลอกของเรียวปาก มักมีส่วนผสมสารบำรุงเพื่อเพิ่มความนุ่มนวล ปัจจุบัน Lip Tretment มีให้คุณเลือกในหลายรูปแบบด้วย ทั้งลิปบาล์มชนิดใส(Lip Balm) ให้ความชุ่มชื้น แต่บางลิปบาล์มชนิดเข้มข้น (Lip Conditioner) สำหรับสาวที่ริมฝีปากแห้งหรือแตกลอกเป็นขุย ข้อแนะนำ แนะนำให้คุณ ทา Lip Tretment ก่อนทาลิปสติกสีปกติ ประมาณ 5  10 นาที  เพื่อช่วยเคลือบริมฝีปากให้ชุ่มชื้นเสียก่อน เพราะหากทาลิปสติกสีในขณะที่ริมฝีปากยังแห้งอยู่ อาจทำให้ทาลิปสติกไม่ติดหรือติดเฉพาะบริเวณร่องปากที่ไม่แห้งได้ หรือการทาก่อนนอนแล้วทิ้งไว้ทั้งคืนก็จะช่วยให้เรามีริมฝีปากที่นุ่มนวลและทาลิปติดง่ายขึ้นอีกเท่าตัว






Lip Cream คือ ลิปสติกที่มีเนื้อสีเข้มข้นมากเป็นพิเศษ มักมีส่วนผสมของมอยส์เจอไรเซอร์ชนิดต่างๆ เช่น Emollient วิตามินซีหรือวิตามินอี ช่วยให้เนื้อลิปสติกมีความเนียนลื่นทาได้ง่าย ไม่มีคราบติดตามร่องริมฝีปาก ทั้งยังให้ความชุ่มชื้นกับริมฝีปากอีกด้วย ข้อแนะนำ ลิปสติกชนิดนี้เหมาะสำหรับสาวที่มีริมฝีปากได้รูปสวยอยู่แล้ว เพราะจะทำให้ริมฝีปากดูเอิบอิ่มยิ่งขึ้น  สำหรับสาวที่มีรูปปากหนาหรือริมฝีปากไม่ได้รูป ควรหลีกเลี่ยงลิปสติกชนิดนี้เพราะเนื้อครีมที่เข้มข้นจะยิ่งเน้นให้ริมฝีปากคุณดูหนายิ่งขึ้นด้วยค่ะ






Lip Frost คือ ลิปสติกที่มีเนื้อสีเข้มข้น แต่จะแตกต่างจากลิปสติกชนิด Cream ตรงที่จะมีส่วนของ Glitter ซึ่งเมื่อสะท้อนกับแสงจะเกิดเป็นประกายระยิบระยับ ทำให้ริมฝีปากดูเปล่งปลั่งสดใส ข้อแนะนำ ลิปสติกชนิดนี้เหมาะสำหรับสาวที่มีริมฝีปากค่อนข้างบาง เพราะประกายระยิบระยับของเนื้อลิปสติกจะช่วยให้ริมฝีปากดูสว่างและมีความโดดเด่นยิ่งขึ้นค่ะ






Lip Matt  คือ ลิปสติกที่มีความเข้มข้นของเนื้อสีมากที่สุด ปราศจากความเงามัน มีส่วนผสมที่ช่วยให้เนื้อลิปสติกแห้งไม่ลบเลื่อนง่าย  ปัจจุบันลิปสติกชนิดนี้มีให้คุณเลือกด้วยกันหลายรูปแบบ ทั้งเนื้อเมทท์ปกติ Glitter Matt ที่เพิ่มประกายระยิบระยับเล็กน้อย ให้ริมฝีปากคุณมันเงา ช่วยให้เรียวปากดูอวบอิ่มยิ่งขึ้น ข้อแนะนำ เวลาทาลิปสติกชนิดนี้ไม่ควรทาในปริมาณที่มากเกินไป เพราะจะทำให้ปากดูแห้งหนาไม่มีชีวิตชีวา หรืออาจดูมีอายุอีกด้วย






Lip Sheer and Lip Satin ลิปสติกเนื้อเชียร์และเนื้อซาตินมีสีสันเพียงบาง ๆ มีส่วนผสมของน้ำมันอยู่เยอะ ให้ความมันวาวได้ดีระดับหนึ่ง ใช้เพื่อเน้นสีสันธรรมชาติของริมฝีปากให้ชัดเจนขึ้นหรือเติมสีสันใหม่ลงไปเพียงจาง ๆ เท่านั้น สามารถใช้แทนลิปบาล์มเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับริมฝีปากไปพร้อม ๆ กับให้สีสันใส ๆ เป็นธรรมชาติ เมื่ออยู่ในแท่งอาจดูมีสีเข้ม แต่จะอ่อนลงมากเมื่อนำมาใช้จริง ด้วยเม็ดสีที่ไม่แน่นทำให้มันเหมาะกับผู้ที่ไม่ปรารถนาการใช้ลิปสติกสีจัด และไม่อยากทาลิปกลอสให้เหนียวเหนอะริมฝีปาก อย่างไรก็ดีลิปสติกเนื้อเชียร์และเนื้อซาตินนี้สามารถทาทับได้หลายครั้งโดยไม่เป็นคราบ






Lip Shine ลิปสติกแบบมันวาวมีส่วนผสมของกลิตเตอร์เล็ก ๆ ที่ให้ประกาย รวมทั้งให้ความมันวาวแบบกลอสซี่ จึงทำให้ริมฝีปากดูเต็มและอวบอิ่ม อย่างไรก็ดีควรหลีกเลี่ยงการทาลิปสติกชนิดนี้ลงบนริมฝีปากที่แห้งลอก เพราะจะยิ่งเน้นให้เห็นข้อบกพร่องของริมฝีปากได้ชัดเจน






Lip Gloss and Tint แม้ลิปกลอสและทินท์จะไม่ใช่ลิปสติก แต่ก็จัดอยู่ในพวกที่ให้สีสันกับริมฝีปาก ทั้งลิปกลอสและทินท์มักใช้คู่กัน โดนใช้ทินท์เพิ่มสีสันให้ริมฝีปากและยังเพิ่มสีสันให้พวงแก้มได้อีกด้วย ส่วนลิปกลอสใช้ทาทับเพื่อเพิ่มความแวววาว ทั้งนี้ไม่นิยมใช้ลิปกลอสเดี่ยว ๆ โดยไม่ทาทินท์หรือลิปสติกที่ริมฝีปากเสียก่อน



วิธีการเลือกลิปสติก : ลักษณะของลิปสติกที่ดี
    เวลาเลือกซื้อลิปสติกควรลองทาจริงบนริมฝีปากของคุณ  เพราะนอกจากทดสอบความเนียนละเอียดของเนื้อลิปสติกแล้ว สีสันของลิปสติกที่คุณเห็นตามเคาน์เตอร์นั้น อาจจะไม่ใช่สีจริงที่คุณต้องการเห็นบนริมฝีปากของคุณ เพราะฉะนั้นเวลาทดลองสีลิปสติก  คุณควรดูว่าสีสันที่ปรากฏนั้นเป็นที่พอใจหรือยัง นอกจากนี้ควรทดลองดมกลิ่นของลิปสติกด้วยว่าเป็นกลิ่นที่คุณรับได้หรือไม่ เพราะลิปสติกแต่ละยี่ห้อจะมีกลิ่นไม่เหมือนกัน คุณต้องมั่นใจว่าเมื่อทาลิปสติกลงบนริมฝีปากแล้ว จะไม่สร้างความรำคาญให้กับคุณ เพราะถ้าซื้อมาแล้วไม่ถูกใจคุณอาจจะเสียดายเงินในตอนหลังก็ได้

แปรงแต่งหน้าแต่ละอันทำหน้าที่อะไร

มารู้จักแปรงแต่งหน้ากันเถอะ
เคยสงสัยกันมั้ยคะว่า ทำไมแปรงแต่งหน้าดีๆ ถึงได้มีราคาสูงนัก
วันนี้เราจะพาคุณมารู้จักแปรงแต่งหน้ากันค่ะ เชื่อกันหรือไม่คะว่าแปรงแต่งหน้าช่วยสร้างความแตกต่างในการแต่งหน้าให้กับเราได้  หากคุณยังไม่ใช่มือโปรในการแต่งหน้า และถึงแม้ว่าจะเทิร์นโปรมานานแล้วก็ยังจำเป็นต้องมีแปรงแต่งหน้าคู่ใจ ชิ้นหลักๆ อยู่ 2-3 ชิ้น ได้แก่แปรงทาอายแชโดว์ แปรงปัดแก้ม และแปรงปัดคิ้ว ซึ่งเป็นแปรงพื้นฐานที่คุณควรจะมีค่ะ ส่วนจะหาซื้อได้ที่ไหนบ้างนั้นก็ไล่ไปตั้งแต่ร้านอาเจ้ขายเครื่องสำอางที่ตลาดประตูน้ำ พรีออเดอร์จากเมืองนอก  หรือถ้ามีเงินเยอะหน่อยก็เคาท์เตอร์แบรนด์เลยค่ะ
คุณภาพของแปรง
วิธีการดูว่าแปรงนั้นมีคุณภาพหรือไม่คือความรู้สึกเมื่อขนแปรงสัมผัสบนผิว อย่างขนแปรงดีๆ นี่จะนุ่มมากเมื่อสัมผัสแล้วไม่รู้สึกสากๆ และใช้นิ้วลองไล้ขนแปรงดูว่าหลุดร่วงง่ายหรือเปล่า เพราะอย่าลืมว่าเราต้องทำความสะอาดแปรงอยู่เสมอนะคะ ถ้าหากขนแปรงหลุดร่วงง่ายทำความสะอาดไม่กี่ครั้งก็พังแล้วค่ะ และแปรงที่ดีด้ามจับต้องจับถนัดมือ
มาดูหน้าที่ของแปรงแต่ละอย่างกันค่ะ
แปรงปัดแก้ม (Blush Brush)
ควรเป็นขนแปรงธรรมชาติเพราะขนแปรงธรรมชาติจะทาสีติดดีกว่าและขนแปรงก็นุ่มกว่าขนแปรงสังเคราะห์ค่ะ และแปรงควรมีขนาดกว้างพอที่จะปัดโหนกแก้มของเราได้ทั่ว
14

แปรงทาคิ้ว (Brow Brush)  
ขนแปรงจะสั้นและแข็งและจะเป็นมุมเอียง เอาไว้สร้างมิติให้กับคิ้ว วัสดุที่ใช้จะเป็นขนสังเคราะห์และขนธรรมชาติ
17
แปรงแต่งคิ้ว (Brow Grooming Brush)
ใช้สำหรับปัดคิ้วให้ได้รูปตามต้องการ ขนแปรงจะลักษณะคล้ายหวี หรือจะมองอีกทีก็คล้ายแปรงสีฟันค่ะ แปรงนี้จะช่วยเกลี่ยสีที่เราเขียนลงไปให้ดู Soft ลงในเวลาที่เราเขียนหนักมือเกินไป และยังช่วยให้สีที่เราเขียนดู Smooth ขึ้นไม่แข็งทือ เหมือนที่หลายๆคนเรียกว่าคิ้วปลิง
18

แปรงทาคอนซีลเลอร์ (Concealer Brush)
ขนแปรงควรมีขนนุ่ม ไม่แข็งและทำให้ระคายเคืองเพราะเราเราต้องใช้บริเวณรอบดวงตาทีมีความบอบบาง วัสดุที่ใช้ควรเป็นขนสังเคราะห์เนื้อมันเงา จะช่วยให้เกลี่ยลื่นไปกับผิว แปรงคอนซีลเลอร์อาจจะยังไม่ใช่แปรงชิ้นที่สำคัญที่สุด แต่เวลาที่เราทาคอนซีลเลอร์ในจุดที่เข้าถึงยากเช่นใต้ตาหรือจุดด่างดำเล็กๆที่เราต้องการปกปิด แปรงชิ้นนี้จะช่วยเราได้ค่ะ
19

แปรงทาอายแชโดว์   (Eye Shadow Brush)
ลักษณะของแปรงต้องกว้างพอที่ครอบคลุมครึ่งหนึ่งของเปลือกตา ถ้าไม่แน่ใจว่าคลุมครึ่งหนึ่งหรือเปล่าวิธีเช็คก็เอาแปรงวางทาบลงบนตาเลยค่ะ ขนแปรงจากธรรมชาติ ขนนุ่ม ปลายต้องโค้งมนเพื่อจะช่วยทำให้การทาอายแชโดว์ขอบตาล่างได้เส้นที่นุ่มนวล
20


แปรงคอนทัวร์เปลือกตา (Eye Contour Brush)
ขนแปรงธรรมชาติ รูปหัวแปรงกลม ปลายตัด ขนแปรงสั้น ใช้สำหรับเก็บเนื้อสีอายแชโดว์สร้างเค้าโครงตาให้มีมิติ นึกง่ายๆ แปรงนี้เหมาะกับการใช้ทำสโมกกี้อายหรือคัดเบ้าตามากค่ะ เพราะเราจะได้เชฟตามที่เราต้องการ
21

แปรงผสมสีอายแชโดว์ (Eye Blender Brush)
ขนแปรงทำมาจากธรรมชาติ ลักษณะขนแปรงยาว นุ่ม ฟู เอาไว้สำหรับใช้เกลี่ยสีอายแชโดว์ให้กลมกลืนกัน หรือจะใช้ไฮไลท์สันจมูกก็ได้เช่นกันค่ะ
22

แปรงเกลี่ยสำหรับเปลือกตา (Eye Smudge Brush)
หัวแปรงขนาดเล็ก ขนแปรงทำมาจากธรรมชาติ มีขนนุ่ม ช่วยเกลี่ยอายไลน์เนอร์ให้ดูฟุ้งกระจาย เหมาะกับการเอาไว้ทำสโมกี้อายส์
23
แปรงเขียนอายไลน์เนอร์ (Eyeliner Brush)
ทำมาจากขนสังเคราะห์ สามารถใช้กับอายไลน์เนอร์ได้ทั้งแบบเปียกและแบบแห้ง ลักษณะแปรงจะเล็กกว่าแปรงทาคิ้วแล้วหัวแปรงจะตัดเฉียงมากกว่า เพื่อให้เข้ากับรูปตาเวลาที่เราเขียนเส้นอายไลน์เนอร์
24
แปรงทารองพื้น ( Foundation Brush)
ขนแปรงปลายแบน ทำมาจากขนสังเคราะห์ ช่วยในการกะปริมาณรองพื้นบนผิวได้พอดี (แต่สุดท้ายก็ใช้นิ้วเกลี่ยอยู่ดีนะ นั่นเพราะแปรงชนิดนี้ส่วนใหญ่เวลาที่เราเกลี่ยรองพื้นมักจะเห็นเป็นเส้นขนแปรง ทำให้รองพื้นไม่เนียนไปกับผิวหน้า)
25
แปรงทาแป้ง (Powder Brush)
ขนแปรงธรรมชาติ มีขนาดใหญ่ ขนฟู นุ่ม เวลาปัดแป้งขนแปรงจะต้องสปริงตัวได้ดีค่ะ สามารถใช้ได้ทั้งกับแป้งฝุ่นและแป้งอัดแข็ง แปรงตัวนี้จะช่วยให้สาวๆที่ไม่ชอบหน้าหนาเกินไปได้ดี และปัดแล้วดูเป็นธรรมชาติมากกว่าการลงด้วยพัฟ
26
แปรงทาปาก (  Lip Brush)
ขนแปรงสังเคราะห์ แน่น ช่วยในการทาลิปสติกได้สวย เป็นรูปทรงมากกว่าการทาจากแท่งตรงๆ ส่วนมากเราจะเอาไว้ใช้ตอนทาลิปสติกสีเข้มๆ เพื่อต้องการความเนี้ยบ ถ้าสาวๆคนๆไหนชอบทาลิปสีแซบๆนี่ก็เป็นแปรงชิ้นนึงที่ควรมีเลยละคะ
27
แปรงหัวฟองน้ำ
แปรงชนิดนี่ส่วนใหญ่จะมากับตลับอายแชโดว์ซึ่งคนส่วนจะไม่สนใจแปรงชนิดนี้ แต่แปรงชนิดนี้ดีมากเมื่อคุณต้องการสีอายแชโดว์ที่ชัดเจน เพราะหัวแปรงจะสามารถเก็บสีได้เยอะกว่าแปรงเส้นขน เวลาใช้เราต้องแตะลงบนเปลือกตา และค่อยๆเกลี่ยก็จะได้สีแซบสำหรับวันที่มีปาร์ตี้



สำหรับตัวอย่างแปรงทั้งหมดที่พูดถึงนั้นเราไม่จำเป็นต้องมีทุกชิ้นก็ได้ค่ะ เราควรรู้ก่อนว่าทุกวันเราแต่งหน้ามากน้อยแค่ไหน ชิ้นไหนเกินความจำเป็นของเราก็ไม่ต้องค่ะ ถ้าเรามัวแต่มองคนแต่งหน้าเก่งๆ ว่าเค้ามีแปรงแบบนั้นแบบนี้ ก็จะสิ้นเปลืองเปล่าๆ เลือกชิ้นที่เราใช้ได้จริง และลงทุนกับแปรงดีๆ ไม่ต้องไปยกเซ็ทมาไว้ที่บ้าน ถึงวันนั้นถ้าคุณรู้ความต้องการของคุณแล้วจะซื้อก็ยังไม่สายจริงมั้ยคแต่ถ้าคุณคิดว่าคุณซื้อแบบยกเซตมาแล้วใช้คุ้มค่าแน่นนอนก็จัดได้เลยค่ะ เพราะอนาคตเราอาจจะไม่ได้แค่แต่งหน้าตัวเราคนเดียว อาจจะกลายเป็นช่างแต่งหน้าไปเลยก็ได้

Tips 
ขนาดของแปรง ส่วนใหญ่แล้วแปรงที่มาพร้อมกับเมคอัพ หัวแปรงจะมีขนาดเล็กและแคบ ไม่เหมาะกับการเอามาใช้แต่งทุกๆ วัน ควรหาแปรงที่เหมาะสมเหมาะสมกับจุดประสงค์ที่เราต้องการการใช้
ขนแปรงธรรมชาติ เช่นขนกระรอก ขนลูกม้า ขนแพะ หรือตัวเซเบิล จะมีความนุ่มมาก จะช่วยให้เกลี่ยผลิตภัณฑ์ได้กลมกลืนเป็นธรรมชาติ เหมาะกับการใช้ผลิตภัณฑ์ประเภทฝุ่น
ขนแปรงสังเคราะห์ เหมาะกับการใช้กับผลิตภัณฑ์เนื้อครีม เช่นคอนซีลเลอร์ อายไลน์เนอร์ รองพื้น ลิปสติก ขนแปรงพวกนี้จะแข็งแรง ช่วยในการควบคุมปริมาณการใช้ผิตภัณฑ์ได้แม่นยำ
นิ้วมือสารพัดประโยชน์ ไม่มีอะไรสู้ความอุ่นจากปลายนิ้วมือในการเกลี่ยสีเมคอัพได้เลย ใช้นิ้วทาลิปสติก ใช้มือวอร์มรองพื้น(ประเภทที่ผสมครีมบำรุง) อุณหภูมิของมือช่วยทำให้ผิวหน้าสว่างสดใส รองพื้นไม่เปลี่ยนสีระหว่างวันและเรียบเนียนเป็นธรรมชาติมากๆด้วย